มอริซิโอ โปเช็ตติโน่ กลายเป็นเป้าหมายหลักของทีมชาติสหรัฐฯ

มอริซิโอ โปเช็ตติโน่ (Mauricio Pochettino) กลายเป็นเป้าหมายหลักของทีมชาติสหรัฐฯ

โค้ชชาวอาร์เจนตินา มอริซิโอ โปเช็ตติโน่ (Mauricio Pochettino) ได้กลายเป็นหนึ่งใน “เป้าหมายหลัก” สำหรับตำแหน่งผู้จัดการทีมฟุตบอลชายทีมชาติสหรัฐฯ ตามรายงานของ The Athletic สหพันธ์ฟุตบอลสหรัฐฯ กำลังมองหาผู้ที่จะมาแทนที่ เกร็ก เบอร์ฮัลเทอร์ และกำลังพิจารณาผู้สมัครหลายคน แต่โปเช็ตติโน่ถือเป็นตัวเต็งและกำลังมีการเจรจากับตัวแทนของเขา คืนนี้อย่าลืมติดตาม ฟุตบอลชาย โอลิมปิก 2024 นัดชิงเหรียญทอง

ประวัติการเริ่มต้น

โปเช็ตติโน่เกิดในปี 1972 และเริ่มต้นอาชีพฟุตบอลที่สโมสร นีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ (Newell’s Old Boys) ในเมืองโรซาริโอ ประเทศอาร์เจนตินา ที่ซึ่งเขาได้แชมป์ลีกอาร์เจนตินาเมื่ออายุเพียง 18 ปี ภายใต้การฝึกสอนของ มาร์เซโล บิเอลซา ในปี 1994 เขาย้ายไปยุโรปและเล่นให้กับสโมสรเอสปันญ่อล, ปารีส แซงต์-แชร์กแมง และบอร์กโดซ์ ก่อนจะกลับมาที่เอสปันญ่อลอีกครั้ง

เส้นทางโค้ช

โปเช็ตติโน่เริ่มต้นอาชีพโค้ชที่เอสปันญ่อล ซึ่งเป็นสโมสรที่เขาจบอาชีพนักฟุตบอลในปี 2006 หลังจากสามฤดูกาลครึ่งที่มีความหวังที่เอสปันญ่อล โปเช็ตติโน่ได้เข้าร่วมพรีเมียร์ลีกอังกฤษ โดยเริ่มต้นที่เซาแธมป์ตันก่อนจะเซ็นสัญญากับท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ซึ่งเขาคุมทีมตั้งแต่ปี 2014 ถึง 2019 ในช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดของสโมสรในประวัติศาสตร์ล่าสุด ในยุคของเขาที่ท็อตแน่ม โปเช็ตติโน่พาทีมคว้าอันดับสองในพรีเมียร์ลีกในปี 2017 และเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกในปี 2019 แม้ว่าทีมจะแพ้ให้กับลิเวอร์พูล

ช่วงเวลาสุดท้ายในยุโรป

หลังจากสิ้นสุดเวลาที่ท็อตแน่ม โปเช็ตติโน่ได้เข้ามาแทนที่ โธมัส ทูเคิล ที่ปารีส แซงต์-แชร์กแมงในเดือนมกราคม 2021 ซึ่งเขาคุมทีมจนถึงฤดูร้อนปี 2022 ไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่คว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในฐานะโค้ช หนึ่งปีต่อมาเขากลับมาคุมทีมในพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง โดยได้รับการเรียกตัวจากเชลซีในช่วงซัมเมอร์ปี 2023 แม้ว่าช่วงท้ายฤดูกาลจะเป็นบวก แต่เชลซีก็ไม่สามารถคว้าโควต้าลงเล่นในยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกได้ และสโมสรอังกฤษได้ตัดสินใจเปลี่ยนโค้ช

สไตล์การเล่น

โปเช็ตติโน่เป็นโค้ชที่มีความสามารถในการปรับเปลี่ยนแทคติกตามผู้เล่นที่เขามีอยู่ ซึ่งทำให้เขาใช้ทั้งระบบแผงหลังสามหรือสี่คนขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่ต้องการ ในช่วงเวลาที่เชลซี เขามักจะใช้ระบบ 4-2-3-1 แต่ก็เปลี่ยนมาใช้ 3-4-2-1 ในช่วงท้ายของฤดูกาล นอกจากระบบแทคติกแล้ว โปเช็ตติโน่ยังสามารถนำเสนอฟุตบอลที่น่าตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะเมื่อเขาคุมท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์

ฟุตบอลชาย โอลิมปิก 2024 ระหว่าง ทีมชาติฝรั่งเศล กับ ทีมชาติสเปน จะฟาดแข้งวันนี้เวลา 23.00 ตามเวลาประเทศไทย

 

กีฬาอเมริกัน กับ ฟุตบอลยุโรป แตกต่างกันตรงไหน

กีฬาอเมริกัน กับ ฟุตบอลยุโรป แตกต่างกันตรงไหน

การระเบิดความโกรธสู่ความประท้วงอันรุนแรง แบบเหนือความคาดหมายของแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดบางกลุ่มต้องบอกว่า เอาจริงมันสะสมเอาไว้นานแล้วเพิ่งจะระเบิดเอาตอนนี้เอง อย่างไรก็ตามหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ตระกูลเกลเซอร์ไม่ได้รับการยอมรับจากกลุ่มแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แม้ว่าจะเป็นเจ้าของทีมมานานแล้ว คงเป็นเรื่องแนวคิดในการมองกีฬา การทำทีมกีฬาที่แตกต่างกันมาก เรามาดูภาพคร่าวกันว่า กีฬาอเมริกัน กับ ฟุตบอลยุโรปแตกต่างกันอย่างไร

ระบบตกชั้นเลื่อนชั้น

สิ่งแรกที่แตกต่างกันแบบเห็นได้ชัดเลย เป็นเรื่องระบบการจัดการแข่งขัน ฟุตบอลพรีเมียร์ลีค กับ บาสเกตบอล NBA มีจุดแตกต่างกันอย่างหนึ่งเลยก็คือ ระบบการตกชั้น เลื่อนชั้นที่บาสเกตบอล ไม่ได้มีแบบนั้น ความแตกต่างตรงนี้ถือว่าชัดเจนมาก เราคงบอกไม่ได้ว่าระบบไหนดีกว่ากัน แต่ความแตกต่างตรงนี้ก็ทำให้แนวคิดไม่เหมือนกันไปด้วย นี่ยังไม่นับการเล่นเกมลีคในยุโรป จะตัดสินจบกันในซีซั่นเลย แต่ว่าอเมริกันเกมจะแบ่งการแข่งขันลีคออกเป็นสองช่วงก็คือการแข่งขันแบบลีคพบกันหมด และการแข่งขันแบบรอบ เพลย์ออฟ ด้วยการเอาทีมครึ่งตารางบน มาตัดสินกันอีกครั้งในระบบทัวร์นาเมนต์

ฟุตบอลคือชีวิต

กีฬาในมุมมองของคนอเมริกัน แม้ว่าจะคลั่งไคล้ขนาดไหน ก็มองว่าเป็นการเล่นเพื่อความบันเทิง สนุกสนานมากกว่า ตัดภาพมาที่ฝั่งยุโรป เกมฟุตบอล มันคือชีวิต มันคือศาสนาของพวกเค้าเลย ความเข้าคลั่งไคล้เข้าเส้นมันแตกต่างกันมากพอดูเหมือนกัน การแข่งขันฟุตบอลเกมดาร์บี้แมตช์(เกมแข่งระหว่างทีมในเมืองเดียวกัน) มันเหมือนเป็นสงครามขนาดเล็กของคนในเมืองที่คิดเห็นไม่ตรงกันเลย หากใครชนะก็ได้เฮ เปรียบเสมือนผู้ชนะในซีซั่นนั่นเลยทีเดียว

ประวัติศาสตร์นอกสนาม

ต่อเนื่องมาจากข้อสอง ฟุตบอลยุโรป มันไม่ได้มีแต่ประวัติศาสตร์ในสนามเท่านั้น มันยังเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์นอกสนามด้วย เรียกว่า เป็นสงครามตัวแทนของเมืองที่เกิดจากสงครามในหน้าประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ อย่างเกมระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ที่เราเรียกกว่า สงครามกุหลาบ นั่นแหละ ดังนั้นใครชนะฟุตบอลมันคือการชนะสงครามนั้นอีกครั้งด้วย แต่กับอเมริกันเกม อาจจะมีบ้าง แต่ความเข้มข้นน้อยกว่า

วิเคราะห์สาเหตุ ทำไมลิเวอร์พูลต้องซื้อหลังใหม่

วิเคราะห์สาเหตุ ทำไมลิเวอร์พูลต้องซื้อหลังใหม่

การเสียเวอร์กิล ฟานไดค์ ไปจากเกมเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ แน่นอนว่าแฟนเดอะค็อป คงคิดไปทางเดียวกันว่า พวกเค้าต้องมองหากองหลังคนใหม่เข้ามาสู่ทีมแบบไม่มีทางเลือก แม้ว่าการซื้อนักเตะในสถานการณ์บังคับแบบนี้จะเกิดการโดนโก่งราคา ย้อมแมวขาย และอีกมากมาย อย่างไรก็ตามเรามาวิเคราะห์กันเน้นๆอีกทีว่าทำไมลิเวอร์พูลต้องซื้อกองหลัง เซนเตอร์แบ็คคนใหม่เข้าสู่ทีม

กว่าจะหายอีกนานมาก

แม้ว่า เวอร์กิล ฟานไดค์ จะเป็นกองหลังที่ถือว่าเป็นยอดมนุษย์ ในซีซั่นที่แล้ว จะเวอร์ กิล ฟานไดค์ ลงสนามในลีคทุกเกม 38 นัดเต็ม ทีนี้มาซีซั่นนี้ การเจออาการนี้เข้าไป บอกเลยว่านานมาก เอาแค่คร่าวต้องใช้เวลา 10-12 เดือนเป็นอย่างน้อย นี่คืออาการหายขาดนะ ยังไม่นับช่วงเวลาฟื้นฟูให้กลับมาเตะฟุตบอลได้อีก ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-3 เดือน เป็นอย่างน้อย เบ็ดเสร็จ กว่าจะได้เห็น เวอร์กิล ฟาน ไดค์ อีกทีก็ปีหน้าเลย อันนี้ประเมินแบบโลกสวยนะ ไม่นับว่าเจ็บซ้ำ และหายช้าอีก

กองหลังมีน้อยเกินไป

เมื่อ ฟาน ไดค์ เจ็บไป มาดูกันว่า พวกเค้าเหลือใครกันบ้าง ตามรายชื่อ พวกเค้าเหลือผู้เล่นในตำแหน่งนี้สองคน ก็คือ โจ โกเมส และ โจเอล มาติป เป็นสองผู้เล่นหลักที่ปกติจะสลับกันลงมาเล่นคู่กับ ฟานไดค์ ส่วนอีกคนแม้ไม่ใช่กองหลังอาชีพโดยตำแหน่งแต่ก็สามารถลงมาช่วยได้ ก็คือ ฟาบินโญ่ ดังนั้นจากตรงนี้เท่ากับว่า ลิเวอร์พูลมีกองหลังตำแหน่งนี้อีก 3 คนเท่านั้นเอง แล้วถ้าหากมีใครเจ็บหรือแบนไปอีก เท่ากับว่าพวกเค้าเหลือเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น ต้องไปดันดาวรุ่งขึ้นมาเล่นช่วย ซึ่งมันคงไม่ดีแน่ จึงไม่แปลกที่จะต้องซื้อคนใหม่เข้ามา

เริ่มหา ฟานไดค์ รุ่น 2

อาการบาดเจ็บของนักเตะ พอหายแล้ว ส่วนใหญ่ขอเรียนตามตรงว่า ไม่เหมือนเดิม ดังนั้นหากจะให้ดี ลิเวอร์พูล คงต้องเริ่มกระบวนการมองหา กองหลังที่เก่งแบบฟานไดค์อีกครั้งในรุ่นที่สอง อย่าลืมว่าการซื้อนักเตะก็เหมือนซื้อหวย กว่าจะถูกเล่นดี ก็ต้องใช้การเดามาหลายครั้งเหมือนกัน พวกเค้าต้องเริ่มมองหา ซื้อตั้งแต่ตอนนี้เลย

การบ้านของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

การบ้านของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

เราเชื่อว่าตอนนี้กระแสฟุตบอลกำลังไปในทิศทางการติดตามสองทัวร์นาเมนต์ใหญ่ของทวีปทั้งฟุตบอลยูโร 2020 ที่กำลังเข้าแข่งขันกันอย่างร้อนแรง อีกฟากหนึ่งจะเป็นฟุตบอลโคปปาอเมริกา ที่ก็บดเบียดกันมากทีเดียว แต่ฟุตบอลสโมสรเองก็ต้องเดินหน้าทำการบ้าน ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง พัฒนาทีมกันด้วยเช่นกัน เราไปดูการบ้านของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กันก่อนว่า พวกเค้าต้องทำอะไรบ้าง

เคลียร์ อนาคต ป็อกบา

ถือว่าเป็นเรื่องที่คาราคาซังมาตลอดทั้งซีซั่นทีเดียวสำหรับอนาคตของ ปอล ป็อกบา ที่ยังไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรแน่ ตัวนักเตะเองก็เหมือนไม่ได้ออกสัญญาณอะไรชัดเจนว่าอยากอยู่ต่อ แถมมีโอกาสจะขออยู่ต่อเพื่อรอย้ายฟรีอีกด้วย นั่นทำให้ทีมต้องเคลียร์ให้ชัดเจนว่าจะเอาอย่างไร จะต่อหรือไม่ต่อ หากไม่ต่อก็คงต้องยอมตัดใจขายถูกไปเลยแม้จะขาดทุนก็ยังดีกว่าเสียฟรี แล้วรีบไปหานักเตะคนอื่นมาทดแทน

ราฟาเอล วาราน

ตำแหน่งที่มีปัญหามาตลอดจนแฟนบอลอยากเห็นแก้ไขสักที เป็นคู่หูของ แฮร์รี่ แมกไกรว์ แม้ว่าลินเดอเลิฟ จะไม่ได้แย่ แต่หากจะหวังแชมป์ต้องดีกว่านี้ คิดภาพที่คู่เซนเตอร์แชมป์ลีคเป็น รูเบน ดิอาส บวก จอห์น สโตน แมนยูต้องหาคู่เซนเตอร์ที่ดีใกล้เคียงกันให้ได้ แน่นอนว่าตอนนี้ข่าวเทไปทางการตามล่า ราฟาเอล วาราน เซนเตอร์แบ็คจากรีล มาดริด ที่เจ้าตัวอยากออกจากทีมเพื่อหาความท้าทายใหม่ หากไม่โดนปารีส ฉกไปเสียก่อน คนนี้ต้องทุ่มซื้อให้ได้เท่านั้น แล้วปล่อยตัวเซนเตอร์แบ็คเบอร์รองๆลงไปเพื่อเคลียร์ที่ว่างให้ดาวรุ่ง หรือ ตัวอะไหล่ขึ้นมาทดแทน

ผู้รักษาประตู

การบ้านข้อต่อไป เป็นเรื่องที่แฟนบอลก็รอดูเหมือนกันว่าจะจบอย่างไรนั่นก็คือ ผู้รักษาประตู ที่ตอนนี้วุ่นตั้งแต่มือหนึ่งถึงมือสามเลย เดเคอา กับ ดีน เฮนเดอร์สัน ก็ไม่รู้ใครจะมือหนึ่งมือสอง แล้วใครจะต้องไป ส่วนเซร์คิโอ โรเมโร่ไปแน่นอน แต่ก็ยังขายไม่ได้ เกิดขายไม่ออกอีก ก็ไม่รู้จะเก็บไว้ยังไง ไหนจะบทบาทของ ทอม ฮีตัน ที่เซ็นเข้ามาอีก ถือว่าเป็นอีกหนึ่งงานสำคัญของ โซลชาร์ ต้องจัดการให้ชัดเจนก่อนขึ้นซีซั่นใหม่ให้ได้

สถิติน่าสนใจเกม UCL รอบแบ่งกลุ่ม

สถิติน่าสนใจเกม UCL รอบแบ่งกลุ่ม

จบลงไปเป็นที่เรียบร้อย สำหรับ เกม UCL รอบแบ่งกลุ่ม ก่อนจะเดินทางไปต่อในรอบน็อคเอาท์ ที่จะจับสลากประกบคู่กันในวันสองวันนี้ เราไปย้อนดูสถิติน่าสนใจของทีมที่เกิดขึ้นในรอบแบ่งกลุ่มกันบ้าง มีอะไรน่าสนใจตรงไหน

ทีมที่ไม่แพ้ใครเลย

ในรอบแรกนี้จะเป็นการแข่งขันแบบแบ่งกลุ่ม แต่ละทีมจะเล่นคนละ 6 เกม ซีซั่นนี้มีถึง 4 ทีมด้วยกันที่สามารถเข้ารอบด้วยสถานะที่ไม่แพ้ใครเลยตลอดรอบแรกที่ผ่านมา ทีมแรกก็คือบาเยิร์น มิวนิค ตามมาด้วย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ , เชลซี และ ลาซิโอ สามทีมแรกจบด้วยการเป็นแชมป์กลุ่ม มีเพียงแค่ลาซิโอเท่านั้นที่แม้ว่าจะไม่แพ้ใครเลยตลอดรอบแรกแต่ว่าพวกเค้าต้องจบด้วยการเป็นรองแชมป์กลุ่ม

ชนะมากที่สุด

ในซีซั่นนี้ รอบแบ่งกลุ่ม ไม่มีใครสามารถทำสถิติชนะรวด 6 นัดได้เลย อย่างดีที่สุด มีเพียงแค่ชนะ 5 เกมเท่านั้นเอง โดยทีมที่สามารถทำสถิตินี้ได้จะมีทั้งหมด 4 ทีมด้วยกัน หนึ่ง บาเยิร์น มิวนิค สอง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตามมาด้วย บาร์เซโลน่า และ ยูเวนตุส ตามลำดับ สองทีมหลังนี้มีเรื่องน่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ ทั้งคู่ชนะเท่ากันที่ 5 แพ้เหมือนกัน 1 เกม ทำให้คะแนนเท่ากันด้วย จากสถิติตรงนี้เราขอเล่าต่อเลยว่า ทีมที่ทำคะแนนได้มากที่สุดก็คือ บาเยิร์น มิวนิค และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ทำได้เท่ากันที่ 16 คะแนน

เสมอมากที่สุด

เกม UCL ยุคนี้ผลออกเสมอ ถือว่าน้อยมาก เพราะว่าแต่ละทีมคุณภาพค่อนข้างห่างกันเยอะ จะเสมอก็คงเป็นการเจอกันเองของทีมที่อยู่ใกล้เคียงกันแล้วเลือกที่จะเล่นผลเสมอเพื่อเก็บคะแนนไว้ก่อน โดยทีมที่เก็บผลเสมอได้มากที่สุดก็คือ ลาซิโอ เก็บไป 4 เกม ลองลงมาเป็น แอต.

มาดริด, อินเตอร์ มิลาน และ โลโคโมทีฟ มอสโคว์ ที่เก็บไปเท่ากันคนละ 3 เกมตามลำดับ

แชมป์กลุ่ม คะแนนน้อยที่สุด

ด้านบนเราได้พูดถึงไปแล้วว่า แชมป์กลุ่มที่มีคะแนนมากสุดเป็นใคร แต่ในทางกลับกัน ใครเป็นแชมป์กลุ่มที่มีคะแนนน้อยที่สุด คำตอบก็คือ รีล มาดริด ของกลุ่ม บี สถิติชนะ 3 เสมอ 1 แพ้ 2 เก็บได้เพียงแค่ 10 แต้มเท่านั้นเอง

สรุปผลงานรายการยูโร 2020 ทัพ กังหันสีส้ม เนเธอร์แลนด์

สรุปผลงานรายการยูโร 2020 ทัพ กังหันสีส้ม เนเธอร์แลนด์

ทัพกังหันสีส้มเนเธอร์แลนด์ หรือ ฮอลแลนด์ ถือว่าเป็นทีมที่เจอผลกระทบแบบสองเด้งสำคัญในการเลื่อนศึกยูโรจากปีที่แล้ว มาเป็นปีนี้แบบเต็มๆเลย อย่างแรกพวกเค้าต้องเปลี่ยนกุนซือจากโรนัลด์ คูมัน ที่ขอลาไปคุมบาร์ซา มาเป็นแฟรงค์ เดอ บัวที่มาทำทีมแทน ไม่เท่านั้นในซีซั่นนี้พวกเค้าต้องเสียกองหลังตัวเก่งอย่าง เวอร์กิล ฟานไดค์ จากอาการบาดเจ็บไปอีก ซึ่งหากแข่งปีที่แล้วสองคนนี้ยังอยู่ พวกเค้าอาจจะไม่ได้ร่วงยูโรเร็วแบบนี้ก็เป็นได้ เรามาสรุปผลงานของเค้ากัน

ผลงานในยูโร

กังหันสีส้ม เนเธอร์แลนด์ เริ่มต้นเส้นทางด้วยรอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มซี เพื่อนร่วมกลุ่มก็คือ ออสเตรีย, ยูเครน และมาซิโอเนียเหนือ ดูจากเพื่อนร่วมกลุ่มไม่น่ายาก แล้วก็จริง เนเธอร์แลนด์ผ่านมาได้แบบสบายๆชนะรวดหมดสามเกม มารอบน็อคเอาท์มาเจอกับ สาธารณรัฐเช็ค ต้องยอมรับว่าดูตามหน้าเสื่อพวกเค้าน่าจะผ่านได้ แต่สุดท้ายกลายเป็นความผิดพลาดของผู้เล่นอย่าง เดอ ลิทก์ กองหลังตัวเก่งจากยูเวนตุส ทำให้พวกเค้าเสียเปรียบเรื่องจำนวนคน จนทำให้โดนกดดันแล้วเสียประตูจนต้องแพ้ไป 0-2 น่าคิดเหมือนกันว่า ถ้าเปลี่ยนจาก เดอ ลิทก์ เป็น ฟาน ไดค์ จะพลาดแบบนั้นหรือไม่

นักเตะฟอร์มดี

แม้ว่าจะตกรอบเร็วเกินไปหน่อย แต่ว่าถ้าจะให้ดูว่าใครฟอร์มดี ก็ยังพอให้เห็นอยู่ คนแรกเป็น จอร์จินิโอ ไวน์จนัลดุม กองกลางที่เป็นเหมือนไดนาโม ขับเคลื่อนแผงกองกลางของทีม การครองบอลของเค้าทำให้ทีมได้เปรียบเสมอ อีกคนเป็น เมมฟิส เดปาย ที่ต่อยอดฟอร์มของตัวเองจากสโมสรได้ดี ผลงานทำได้สองประตู สองแอสซิสต์ จากสี่เกม ถือว่าเป็นเรื่องดี สามเป็น ดุมฟรีส์ ที่แจ้งเกิดในทัวร์นี้เลย ผลงานลงเล่นไปสี่เกม ทำไปได้สองประตู หลังจบทัวร์นี้ได้ข่าวว่ามีหลายทีมรุมจีบอยากให้ไปร่วมทีมด้วย

อนาคต

ทีมชุดนี้ต้องยอมรับว่าปั้นกันมาได้ดี ทั้งตัวหลักและตัวสำรอง แต่ว่าตอนนี้ยังต้องสั่งสมประสบการณ์ให้มากกว่านี้เพื่อปิดเกม ครองเกมให้ได้เปรียบ ถ้าทำได้ทัวร์ต่อไปน่าจะไปได้ไกล

ซุปเปอร์ลีค คำที่ ฟีฟ่า กลัวที่สุด

ซุปเปอร์ลีค คำที่ ฟีฟ่า กลัวที่สุด

ช่วงนี้มีข่าวเรื่องของการปรับปรุงระบบการแข่งขัน UCL ออกมาเป็นระยะ ส่วนหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ การเข้ามาปรับปรุง เพิ่มโควตาของทีมที่มาจาก 5 ลีคใหญ่ของยุโรป แน่นอนว่าที่ทำแบบนี้ แม้จะต้องโดนก่นด่าจากลีครองของยุโรป แต่สิ่งที่ฟีฟ่า, ยูฟ่า กลัวมากที่สุดในเวลานี้ก็คือคำว่า ซุปเปอร์ลีค ทำไมพวกเค้าถึงกลัว

ซุปเปอร์ลีค คืออะไร

คำว่า ซุปเปอร์ลีค เอาเค้าจริงเป็นคำที่มีมานานมากแล้ว แต่ว่าอยู่ในรูปแบบชื่อที่แตกต่างกันไป ใจความสำคัญของคำนี้ก็คือ การจัดแข่งขันฟุตบอลที่เอาสโมสรชั้นนำของยุโรปมาแข่งขันกัน เพื่อหาผู้ชนะ โดยการจัดแข่งขันนี้จะเป็นการแข่งขันที่สโมสรร่วมทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับองค์กรฟุตบอลโดยรวม

การเสียรายได้มหาศาล

ถามว่า ทำไม ฟีฟ่า และ ทุกองค์กรฟุตบอลต้องกลัวเรื่อง ซุปเปอร์ลีค คำตอบก็คือ พวกเค้ากลัวเสียรายได้มหาศาลที่พวกเค้ารับอยู่ อย่างตอนนี้ ยูฟ่า ทำหน้าที่เกี่ยวกับฟุตบอลชาติเป็นหลัก แต่ระดับสโมสรพวกเค้าจัดการแข่งขัน UCL และ ยูโรป้าลีค ด้วยเหมือนกัน ซึ่งทั้งสองรายการก็ทำรายได้มหาศาลมากแต่ละซีซั่น ลองนึกภาพว่า สโมสรเหล่านั้นไม่มาแข่งขันแล้วไปจัดแข่งขันกันเอง พวกเค้าจะเสียฐานคนดูแฟนคลับ รายได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดไปเท่าไร นึกภาพตามว่า หากมีฟุตบอลแข่งพร้อมกัน คู่หนึ่งเป็น เชลซี เจอกับ แอต.

มาดริด ส่วนอีกคู่เป็น คาบัค เจอกับ แรนส์ เราจะเลือกดูใคร คงไม่ต้องคิด ซึ่งยูฟ่า กับ ฟีฟ่า คงไม่มีทางให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

การห้ามที่อาจจะไม่ได้ผล

จากข่าวที่ออกมา ทางฟีฟ่า และ ยูฟ่า เองก็พยายามจะใช้ทั้งไม้นวมและไม้แข็งในการโน้มน้าวให้ทีมชั้นนำในยุโรปไม่ไปจัดซุปเปอร์ลีคกันเอง แต่มองอีกมุมหนึ่งการห้ามของพวกเค้าที่ยกเรื่องสิทธิ์ของนักเตะที่จะไม่สามารถลงแข่งเกมระดับทีมชาติได้มาเป็นตัวประกัน มันก็อาจจะไม่ได้ผลเท่าไรนัก อย่าลืมว่านักเตะแม้จะอยากติดทีมชาติ แต่ก็ไม่ได้ติดกันทุกคน แล้วถ้าทุกคน เมินการติดทีมชาติเพื่อสนใจการหารายได้ล่ะ ก็เท่ากับว่าตัวประกันเรื่องนี้ไร้ผลเลย แล้วเอาเค้าจริงการห้ามจัดแข่งขันฟุตบอล หากฟ้องศาลไป มันก็อาจจะกลายเป็นถูกตีตกได้เหมือนกัน เพราะการจัดแข่งกีฬากันเองมันไม่น่าจะผิดกฏหมายข้อไหนเลย ก็ต้องดูว่าสุดท้าย ฟีฟ่า ยูฟ่า จะทำได้มากแค่ไหน แต่บอกเลยว่าถ้าห้ามเรื่องนี้ไม่ได้ ยูฟ่าเองเหนื่อยแน่นอน

แมนยูเจอทรานเมียร์ไม่ง่ายอย่างที่คิด

แมนยูเจอทรานเมียร์ไม่ง่ายอย่างที่คิด

เกมเอฟเอคัพรอบที่สี่ ที่ยังช้าอยู่ เนื่องจากหลายคู่ยังไม่สะเด็ดน้ำดี ส่วนหนึ่งเป็นคู่ของวัตฟอร์ด กับ ทรานเมียร์ ที่ต้องไปเตะนัดรีเพลย์อีกครั้งในบ้าน ทรานเมียร์ ปรากฏว่า กลายเป็น ทรานเมียร์ ทำได้ดีกว่ามาก รวมกับวัตฟอร์ดเอง จัดทีมไม่เต็มสูบเท่าไรเพราะต้องเก็บตัวไว้ในลีค กลายเป็น ทรานเมียร์เอาชนะไปได้ 2-1 จากช่วงต่อเวลา จนได้เจอกับแมนยู ฟังดูอาจจะง่ายของแมนยูแต่เชื่อสิเกมนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย

สภาพสนามไม่เป็นใจ
อย่างแรกต้องบอกว่าเป็นเรื่องยากของแมนยูแน่นอน นั่นก็คือ สภาพสนามของทรานเมียร์ ที่บอกเลยว่าสภาพไม่ค่อยดีเท่าไร หากใครได้ดูแค่เพียงไฮโลต์ก็จะเห็นสภาพสนามของทรานเมียร์ที่บางพื้นที่แทบจะไม่มีหญ้าเลย เป็นฝุ่นดิน เละ โคลน ยังไม่รวมกับลมแรง ฝนตกที่อาจจะเกิดขึ้นจนทำให้การคอนโทรลบอลไม่ง่ายอย่างใจคิด หากนักเตะแมนยูปรับตัวไม่ดี อาจจะโดนทีเด็ดสนามจนเล่นขาดๆเกินๆ จนทำไม่ได้ก็เป็นได้

ฟุตบอลเพรสซิ่ง
เกมแบบนี้ของเอฟเอคัพ ว่ากันตามตรงทีมใหญ่ไม่อยากเจอเท่าไร เพราะจะเจอเกมเพรสซิ่งวิ่งสู้ฟัดของทีมรองบ่อนอย่างเต็มสูบ นักเตะเหล่านั้นจะวิ่งเข้าหา บีบ ทุกจังหวะ เข้าถึงเนื้อถึงตัวตลอด ซึ่งนักเตะแมนยูจะไม่ชอบการเล่นแบบนี้เลย ยิ่งลูกตั้งเตะ ลูกกลางอากาศของทรานเมียร์ นี่บอกเลยว่า อย่างเข้ม เล่นเนื้อๆเน้นๆ เบียดชนกันแบบจริงจังมาก ฝั่งแมนยูหากปรับตัวกับสปีดการเข้าเพรสไม่ทันบอกเลยว่า มีโดน

แมนยูกดดันตัวเอง
มองไปที่สภาพทีมแมนยูตอนนี้ ก็เหมือนกับพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกที่มีเรื่องเข้ามาไม่เว้นแต่ละวันทั้งเรื่องในสนาม อาการบาดเจ็บ และเรื่องนอกสนามอีกมากมาย ยิ่งมาเจอกับทีมรองบ่อนแบบนี้อาจจะมองว่าดี แต่จะเป็นแมนยูเองนั้นแหละหากทำประตูไม่ได้หลังผ่านครึ่งทางของครึ่งแรกไปแล้ว จะมากดดันตัวเองจนเล่นไม่ออกก็เป็นได้เหมือนกัน หวังว่าจะไม่เป็นแบบนั้นนะ

เมสซี่อยู่ ใครล่ะจะลำบาก

เมสซี่อยู่ ใครล่ะจะลำบาก

มาถึงตรงนี้เป็นที่แน่นอนแล้วว่า ลิโอเนล เมสซี่ จะได้อยู่กับทีมต่อไปอีกอย่างน้อย 1 ฤดูกาล นั่นทำให้แฟนบอลคงได้เห็นอะไรอีกมากมายที่จะเกิดขึ้นในซีซั่นนี้ แต่ว่าก็ว่าการคงอยู่ของเค้าก็กระทบกับทีมของโรนัลด์ คูมันในซีซั่นที่กำลังจะมาถึงเหมือนกัน เรามาวิเคราะห์กันว่า การอยู่ของเมสซี่ ใครล่ะจะลำบากกันบ้าง
ฟิลิปเป้ คูตินโญ่
คนแรกที่เรามองว่ามีผลกระทบโดยตรงเลยก็คือ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ เพลย์เมกเกอร์ทีมชาติบราซิล การเข้ามาของเค้าเป็นการเข้ามาเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระเมสซี่ในเกมแดนกลาง มองจากชื่อในกระดาษถือว่ายอดเยี่ยม แต่ว่าในสนามจริงกลับตรงกันข้าม คูตี้ เล่นไม่ได้อย่างที่เราคาดหวังกันไว้เลย เหมือนกับลืมเอาฟอร์มที่เคยระเบิดตอนอยู่ลิเวอร์พูลไปเสียหมด จนต้องย้ายไปเล่นให้กับบาเยิร์น มิวนิค แบบยืมตัว แม้จะไม่ได้เล่นดีจนเป็นตัวหลัก แบบที่เค้าจะต้องซื้อ แต่การได้กลับมาบาร์ซาในฐานะทริปเปิ้ลแชมป์ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่สงสัยอยู่ว่า การกลับมาคราวนี้เค้าจะเล่นคู่กับ เมสซี่อย่างไร ในเมื่อ เมส ยังไม่ไป คูตี้ คงเกิดยากเหมือนกัน
อองตวน กรีซมันน์
คนที่สองต้องบอกว่า สถานการณ์ไม่แตกต่างกันเท่าไร อองตวน กรีซมันน์ ดาวยิงฝรั่งเศสที่ถือว่าเป็นตัวอันตรายเมื่อได้เล่นให้กับแอต.มาดริด แต่พอย้ายทีมทุกอย่างก็ทิ้งไว้หมดไม่ได้เอามาด้วยรวมถึงฟอร์มการเล่น ทีนี้การเล่นร่วมกับเมสซี่ ก็ทำให้เจ้าตัวเหมือนสูญเสียความเป็นตัวเองไปจนความมั่นใจหดหายลงไปเยอะ หาก เมสซี่ไป เค้าอาจจะเด่นในแดนหน้าอย่างที่ต้องการ(หลุยส์ ซัวเรสก็ไปด้วย) แต่พอเมสไม่ไป ก็อาจจะทำให้ที่เราคาดว่า ทีมจะดัน กรีซมันน์ มากกว่านี้ก็คงจะไม่ใช่(เรื่องเดียวที่ดูว่าจะดีของเค้าก็คือ หลุยส์ ซัวเรสออกจากทีมไป น่าจะทำให้เค้ามีโอกาสมากขึ้น) ก็ต้องมารอดูเหมือนกันว่า เมสซี่ กับ กรีซมันน์ ทั้งสองคนจะเล่นร่วมกันอย่างไรดีจึงจะเกิดประสิทธิภาพ ให้ได้มากที่สุด

หงส์แดง ลิเวอร์พูล ซื้อตัว ไค ฮาเวิร์ตซ์มีแววล่ม

หงส์แดง ลิเวอร์พูล
หลังจากที่มีข่าวลือออกมาเมื่อปลายปีที่แล้วว่าหงส์แดง ลิเวอร์พูล จ่าฝูงจากพรีเมียร์ลีกอังกฤษที่ยังคงไร้พ่ายมาตลอด มีแนวโน้มสนใจนักเตะหนุ่มดีกรีทีมชาติเยอรมันอย่าง ไค ฮาเวิร์ตซ์ วัย 20 ปี ที่มีประวัติการค้าแข้งตั้งแต่ปี 2013 เข้าร่วมทีมชาติเยอรมันในรุ่นเยาวชนครั้งแรกตั้งแต่เขาอายุได้เพียง 14 ปี และปัจจุบันค้าแข้งกับสโมสรไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น โดยจากข่าวที่ออกมาแจ้งว่าทางลิเวอร์พูลอาจจะใจปล้ำ ทุ่มเงินกว่า 40 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 1,614 ล้านบาท เพื่อเสริมทัพทีมหงส์แดงให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
แต่ข่าวล่าสุด เหมือนทางสโมสรอาจจะต้องเปลี่ยนใจไปหาผู้เล่นอื่นแทน เนื่องจากราคาค่าตัวของไค ฮาเวิร์ตซ์ที่ออกมานั้นมีราคามากถึง 80 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 3,230 ล้านบาท มากกว่าที่เคยตั้งเป้าไว้ถึงสองเท่า โดยสื่อออนไลน์สัญชาติอังกฤษชื่อดังอย่าง The Independent ได้รายงานว่า หงส์แดง ลิเวอร์พูล กล่าวถึงการตั้งราคา 80 ล้านปอนด์ว่าแพงเกินไป และทางสโมสรก็ไม่คิดที่จะซื้อผู้เล่นทีมชาติเยอรมันในราคาที่สูงขนาดนั้น อีกทั้งการซื้อไค ฮาเวิร์ตซ์มาเสริมทีมตอนนี้ก็อาจจะดูเป็นการตัดสินใจที่ไม่ค่อยถูกนัก เพราะตอนนี้ยังไม่มีตำแหน่งสำหรับเขาในทีมผู้เล่นตัวจริง โดยทางสโมสรอาจจะเลือกผู้เตะเน้นที่ฝั่งซ้ายและมีราคาต่ำกว่าแทน แถมตอนนี้แชมป์พรีเมียร์ลีกกำลังลอยลำมาที่หงส์แดงอย่างไม่ต้องลุ้น ยิ่งทำให้เจอร์เกน คล็อปป์ผู้นำทีมลิเวอร์พูล ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบซื้อตัวนักเตะดาวรุ่งอย่างไค ฮาเวิร์ตซ์แต่อย่างใด
แต่ถึงแม้จะมีการอ้างว่าทางลิเวอร์พูลเลือกที่จะซื้อนักเตะที่เน้นความสามารถ มากกว่าซุปเปอร์สตาร์ดาวรุ่งอย่าง ไค ฮาเวิร์ตซ์, คีเลียน เอ็มบัปเป้ หรือจาดอน ซานโช่ แต่ใช่ว่าทางหงส์แดงเองจะไม่กล้าทุ่มเงินให้กับพวกเขา เพราะทางสโมสรเองมีประวัติทุ่มเงินซื้อจนติดห้าการซื้อขายสูงสุดในช่วงสองปีครึ่งที่ผ่านมา หากแต่อาจจะเป็นเพราะทางสโมสรเองไม่ได้มีความต้องการตัวไค ฮาเวิร์ตซ์มากพอนั้นเอง
โดยไค ฮาเวิร์ตซ์ถึงแม้จะชวดจากลิเวอร์พูลไป แต่เขาเองก็เป็นนักเตะดาวรุ่งชื่อดังที่ตอนนี้กำลังมองหาสโมสรใหญ่ทางยุโรปรวมถึงบาเยิร์น มิวนิค สโมสรจากบ้านเกิดของเขาเอง